งานวิจัย รพ.จุฬา พบสมุนไพรเห็ดหลินจือช่วยฟื้นฟูโรคไตได้จริง เห็ดหลินจือแดงมีสรรพคุณช่วยรักษาอาการไข่ขาวรั่วในปัสสาวะของผู้ป่วยไตลดลงและป้องกันภาวะไตวายได้ และเพิ่มภูมิคุ้มกันโรคไดไม่ให้เสื่อม
รศ.พญ.ดร.นริสา ฟูตระกูล นักวิจัยภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้เปิดเผยถึงสถิติของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังว่ามีประมาณ 250 คน ต่อหนึ่งล้านคนต่อปี ผู้ป่วยไตเรื้อรังที่เข้าสู่ภาวะไตวายขั้นสุดท้ายต้องเข้ารับการฟอกไตหรือ เปลี่ยนไตอยู่ในอัตรา 7% ต่อปี และมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังพบว่า 3 – 5% ของผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงปราศจากโรคภัยไข้เจ็บจะมีความผิดปกติของไต สาเหตุของการเกิดโรคไตนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด แต่อาจมีปัจจัยทางกรรมพันธุ์เข้ามาเกี่ยวข้องร่วมกับสิ่งกระตุ้น เช่น การติดเชื้อ ได้รับสารพิษ ฯลฯ
รู้จักโรคไต กันก่อนดีกว่า!
ไต เป็นอวัยวะที่มีรูปร่างคล้ายถั่ว มี 2 ข้าง อยู่ทางด้านหลังนอกช่องท้อง และมีหน้าที่ 2 ประการใหญ่ๆคือ
- ควบคุมระดับเกลือแร่ต่างๆให้เป็นปกติ และขับของเสียออกจากร่างกายทางปัสสาวะ
- สร้างฮอร์โมนและสารต่างๆ ฮอร์โมนที่สำคัญคือเออริโทรพอยเอติน ซึ่งทำหน้าที่กระตุ้นไขสันหลังให้สร้างเม็ดเลือดแดง
ไตแต่ละข้างประกอบด้วยหน่วยไตประมาณ 1 ล้านหน่วย แต่ละหน่วยประกอบด้วยตัวกรองและหลอดไต ในแต่ละวันมีเลือดไหลเวียนผ่านไตประมาณ 180 ลิตร และหน่วยไตจะกรองและคัดหลั่งสารต่างๆ และขับออกมาเป็นปัสสาวะวันละประมาณ 1 ลิตร/คน คนเราสามารถมีชีวิตโดยปกติได้โดยอาศัยไตเพียงข้างเดียว ภาวะไตวายจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีความผิดปกติในการทำงานของไตทั้งสองข้าง โดยสามารถแบ่งเป็น 2 แบบคือ
- ไตวายเฉียบพลัน เกิดขึ้นเพียงระยะเวลาหนึ่งแต่เมื่อแก้ไขที่ต้นเหตุได้อาการนี้ก็หายไปได้ สาเหตุเกิดจากภาวะที่เลือดหรือสารน้ำไปเลี้ยงไตลดลง การได้รับยาหรือสารพิษที่เป็นพิษต่อไต
- ไตวายเรื้อรัง ถึงแม้จะทำการแก้ไขที่ต้นเหตุแล้วก็จะยังมีการเสื่อมของไตมากขึ้นไปเรื่อยๆ จนนำไปสู่ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายในที่สุด โดยสาเหตุที่พบบ่อยได้แก่ โรคเบาหวาน การอักเสบเรื้อรังของตัวกรองของไตหรือหลอดไต โรคไตจากความดันโลหิตสูง การอุดตันของทางเดินปัสสาวะ(จากนิ่ว ต่อมลูกหมาก) โรคถุงน้ำโป่งพองในไตแต่กำเนิด โรคเกาต์ โรคไตซึ่งเกิดจาการรับประทานยาแก้ปวดเป็นระยะเวลานาน และโรคเอสแอลอี ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังส่วนใหญ่ควรลดอาหารเค็มเพราะร่างกายไม่สามารถขับเกลือออกจากร่างกายได้ตามปกติ ทำให้บวมและความดันโลหิตสูง ลดอาหารประเภทโปรตีน ควบคุมเบาหวาน ควบคุมความดันโลหิต ให้อยู่ในภาวะปกติ ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังสามารถตรวจสอบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นที่ไตหรือไม่? จากตัวชี้วัด 2 ตัวคือ
- ค่าปริมาณยูเรียไนโตรเจนในเลือด หรือ BUN(Blood urea nitrogen) โดยค่านี้แสดงถึงระดับของเสียที่เกิดจากการย่อยสลายโปรตีนและคั่งค้างใน กระแสเลือด ค่าปกติคือ 10-20 มิลลิกรัม/เดซิลิตร ดังนั้นหากไตทำงานได้แย่ลงก็จะทำให้ค่า BUN มีค่าเพิ่มขึ้น
- ค่าปริมาณสารครีเอตินีน ซึ่งแสดงการทำงานของไต ถ้าการทำงานของไตลดลงค่าครีเอตินีนจะสูงขึ้น กล่าวโดยรวมหากการทำงานของไตแย่ลงตัวชี้วัดทั้งสองจะมีค่าสูงขึ้น แต่ค่าครีเอตินีนนั้นจะบอกการทำงานของไตได้เด่นชัดกว่าค่า BUN
โรคไตวาย เกิดจากการที่ไตสูญเสียหน้าที่ ไม่สามารถขับน้ำ และของเสียออกจากร่างกายได้ ทำให้ร่างกายเสียสมดุล และเลือดเป็นพิษ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ซึม คลื่นไส้ และเสียชีวิตในที่สุดได้
โรคไตวายเรื้อรังไม่ว่าเกิดจากสาเหตุใด สุดท้ายจะทำให้เกิดภาวะ ยูเรเมีย( Uremia )เหมือนกัน คือทำให้มีอาการ ซีด บวม อ่อนเพลีย ซึมลง จนหมดสติและชักได้ ร่างกายจะดำรงอยู่ไม่ได้ถ้าไตไม่ทำงานขับถ่ายของเสีย
ปัจจุบันวิธีรักษาโรคไตจะรักษาโดยการแก้ไขปัจจัยเสี่ยงที่เป็นสาเหตุทำให้ป่วยเป็นโรคไตร่วมกับการให้ยาโดยเฉพาะอย่างยิ่งยากดภูมิคุ้มกันซึ่งใช้ได้ผลในผู้ป่วยบางกลุ่มเท่านั้น
ไตมีปัญหารู้ได้อย่างไร? อาการของโรคไต
ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน หลายครั้ง มีฟองสบู่ออกมา มีตะกอน ปัสสาวะสีเข้ม ปวดหลังบริเวณไต อยู่ตรงบริเวณบั้นเอว บางครั้งปัสสาวะขัด อ่อนเพลีย เลือดจาง
ดูจากปัสสาวะและอาการอื่นๆ ร่วมด้วย ได้แก่
- ปัสสาวะเป็นเลือด มีสีแดง สีน้ำล้างเนื้อ สีชาแก่ หรือ สีเหลืองเข้มก็ได้
- ปัสสาวะมีฟอง เหมือนมีฟองสบู่ออกมาด้วย
- ปัสสาวะขุ่นแสดงถึงไตมีอาการอักเสบหรือติดเชื้อ
- ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะขัด มีตะกอนในปัสสาวะ
- มีอาการบวมน้ำบริเวณหนังตา หน้า ขา เท้า ให้ลองใช้นิ้วกดบริเวณที่บวมหากมีรอยบุ๋มลงไป ให้สันนิษฐานว่าเป็นโรคไตควรพบแพทย์ด่วน
- ความดันโลหิตสูง เนื่องจากไตเป็นตัวที่สร้างสารควบคุมความดันโลหิต แต่อย่างไรก็ตามโรคความดันโลหิตสูงมีสาเหตุมากมาย ไตเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งเท่านั้น
- ปวดหลังบริเวณไต อยู่ตรงบริเวณบั้นเอว
- ซีดหรือโลหิตจาง สาเหตุเลือดจางนั้นมีหลายสาเหตุ หนึ่งในนั้นก็มีโรคไต เนื่องจากไตมีหน้าที่สร้างสารไปกระตุ้นไขกระดูก สร้างเม็ดเลือดแดง เมื่อเป็นไตเรื้อรัง จะส่งผลให้โลหิตจาง มีอาการอ่อนเพลีย หน้ามืด
- พบความผิดปกติของตะกอนในปัสสาวะ พบการทำงานของไตน้อยลงติดต่อกันนาน 3 เดือน
เห็ดหลินจือรักษาโรคไตอักเสบ ไตวาย
ไตที่อักเสบจะมีใยแผลเป็นที่ไต นานเข้าจะหดรัดไต ทำให้ไตเล็กลง รวมทั้งยังรัดเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงไต ทำให้ไตทำงานไม่ได้ ไตเกิดภาวะขาดเลือด
มีการศึกษาพบว่าเห็ดหลินจือมีสรรพคุณเป็นสมุนไพรรักษาโรคไต จะช่วยละลายใยแผลเป็นให้อ่อนตัว ไม่ไปรัดเส้นหลอดที่เลี้ยงไต ทำให้สามารถไหลไปเลี้ยงไตได้ดี ไตทำงานได้ดีขึ้น ป้องกันการเสื่อมของไต สามารถละลายลิ่มเลือด เมื่อลิ่มเลือดไม่สามารถเกาะตัวกันได้ ก็จะไม่เกิดภาวะอุดตันของเส้นเลือด เลือดก็จะไหลเวียนได้ดีขึ้น วิธีดูแลสุขภาพให้ร่างกายแข็งแรงดี เคล็ดลับจากสรรพคุณประโยชน์ “เห็ดหลินจือ” รักษา ป้องกันสารพัดโรค
สารสำคัญเห็ดหลินจือ สรรพคุณรักษาโรคไต
- สารเยอรมาเนียม (Germanium) เป็นสารที่สามารถพบในโสม มีประมาณ 250 – 320 ppm แต่ในดอกเห็ดหลินจือจะมีสารชนิดนี้ 800 – 2,000 ppm และในรากของเห็ดหลินจือจะมีสารชนิดนี้มากกว่าดอกถึง 4 เท่าตัว สารเยอร์มาเนียมมีคุณสมบัติเพิ่มออกซิเจนที่สะสมในเนื้อเยื้อ เมื่อร่างกายขาดออกซิเจนก็สามารถดึงจากเนื้อเยื้อออกมาใช้ได้ ช่วยขจัดของเสียอย่างไฮโดรเจนแทนออกซิเจนของร่างกาย ทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น บำรุงสมอง-ประสาท และ ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย
- สารโพลีแซคคาไรด์ ที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันร่างกายให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นอีก ช่วยขจัดสารพิษ ปรับสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
- สารนิวคลีโอไทด์ เป็นสารที่ช่วยชะลอการก่อเกร็ดเลือด และลิ่มเลือด ป้องกันเส้นเลือดอุดตันจากการก่อตัวของลิ่มเลือด สำหรับคนที่เป็นโรคไตหากเกิดการอุดตันของเส้นเลือด ส่งผลให้เนื้อไตตายได้
- โปรตีน LZ-8 มีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
- สารอาดีโนซีน (Adenosine) มีคุณสมบัติช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย สร้างความแข็งแรงให้กับเยื่อหุ้มเซลล์เม็ดเลือดแดง และสร้างสมดุลย์ภายในร่างกาย
- นอกจากนี้ยังมีสารอื่นๆอีกมากมาย เช่น กรดโอเอลิก อัลคาลอยด์ สารกาโนเดอริก และกรดอมิโนที่จำเป็นต่อร่างกายอย่างครบถ้วน
จากผลการวิจัยเห็ดหลินจือของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า “สปอร์เห็ดหลินจือกะเทาะเปลือกหรือเยื้อหุ้ม” เป็นส่วนที่ดีและให้ประโยชน์สูงสุด เพราะอุดมไปด้วยสารออกฤทธิ์ทางยาในปริมาณที่เข้มข้นและสูงกว่าสารสกัดส่วนอื่นของเห็ดหลินจือหลายเท่า
รพ.จุฬา วิจัยนำเห็ดหลินจือมารักษาโรคไตเรื้อรัง
คณะวิจัย รศ.พญ.ดร.นริสา ฟูตระกูล นำเห็ดหลินจือมารักษาไตเรื้อรัง ระบุเห็ดหลินจือช่วยฟื้นฟูการทำงานของไต ทางเลือกใหม่แทนกินยากดภูมิคุ้มกัน แพทย์จุฬาลงกรณ์ ศึกษากลไกการเกิดภาวะไตวายในร่างกาย พร้อมสร้างทางเลือกใหม่รักษาโรคไตเรื้อรังด้วยสารสกัดเห็ดหลินจือ เผยผลทดสอบเบื้องต้นช่วยผู้ป่วยกลับสู่ภาวะปกติ ระบุสรรพคุณสร้างสมดุลให้ระบบภูมิคุ้มกัน ลดอาการไตอักเสบ ภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะ แถมยังเพิ่มประสิทธิภาพระบบไหลเวียนโลหิตและเพิ่มสมรรถภาพการทำงานของไต
จากการวิจัยของ รพ.จุฬาลงกรณ์ ด้วยการนำเห็ดหลินจือมารักษาผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังที่เป็นประเภทที่ไม่สามารถทำการรักษาได้ด้วยยากดภูมิคุ้มกัน อย่าง สเตียรอยด์ ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการตัวบวม มีภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะมากกว่า 3.5 กรัมต่อวัน ทำให้เลือดหมุนเวียนไม่ดี เลือดในร่างกายข้นหนืด ทำให้เกิดการอุดตัน ไขมันในเลือดสูง ซึ่งภาวะต่างๆนี้ส่งผลให้ไตอักเสบ เสื่อม และถูกทำลายได้ สาเหตุเกิดจากสารพิษในเลือด สารอนุมูลอิสระและการเสียสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิดภาวะหดรัดตัวของหลอดเลือดมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความดันในไตสูงขึ้น ทำให้เข้าสู่ภาวะเนื้อไตตายได้
ทีมงานวิจัยจึงให้ผู้ป่วยทานสารสกัดจากเห็ดหลินจือวันละ 750-1,000 มิลลิกรัม ควบคู่ไปกับยาขยายหลอดเลือด เป็นระยะเวลา 1 ปี ผลที่ได้พบว่าช่วยฟื้นฟูระบบการทำงานของไตได้ดีขึ้น ลดภาวะเนื้อไตตายได้อย่างชัดเจน ระบบภูมิคุ้มกันเข้าสู่ภาวะปกติ ลดภาวะไข่ขาวรั่วในปัสสาวะได้ดี นอกจากนี้การกินสารสกัดเห็ดหลินจือในปริมาณดังกล่าวยังไม่ก่อให้เกิดอันตรายหรือผลข้างเคียงใดๆ
รศ.พญ.ดร.นริสา ได้ให้คำแนะนำสำหรับผู้ป่วยโรคไตว่า นอกจากจะกินสมุนไพรเห็ดหลินจือรักษาโรคไตแล้ว จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและการดำเนินชีวิตโดยให้ความสำคัญในเรื่องอาหาร น้ำ อากาศ การออกกำลังกาย ควรงดอาหารที่มีเกลือโซเดียมสูง อาหารที่มีรสเค็ม เพราะคนที่เป็นโรคไตนั้นมักมีภาวะที่ไม่สามารถขับเกลือออกจากร่างกายได้เหมือนคนทั่วไป จึงอาจทำให้ตัวบวม
และการกำจัดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ควรกินอาหารที่มีโปรตีนในปริมาณที่จำกัด ควบคุมระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในภาวะปกติ และควรหลีกเลี่ยงสารปนเปื้อนในอาหาร เช่น สีผสมอาหาร กลิ่นสังเคราะห์ สารกันบูด ไตจะได้ไม่ต้องทำหน้าที่ขับของเสียออกจากร่างกายมากเกินไป นอกจากนี้ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำให้มากเพียงพอเพื่อไม่ให้ไตขาดเลือด ที่สำคัญคือควรงดสูบบุหรี่
กินเห็ดหลินจือ เป็นโรคไต มีผลข้างเคียงไหม?
สำหรับผู้ที่กินเห็ดหลินจือใหม่ๆ อาจจะรู้สึกมึนศีรษะ ปวดเมื่อย ปวดตามข้อ ง่วงนอน ผิวหนังเกิดอาการคัน อาเจียน อาการคล้ายท้องเสีย ท้องผูก ฉี่บ่อย หรือจะมีผลลักษณะอาการของโรคนั้น ๆ ถือเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับ อันเป็นเรื่องปกติของการบำบัด ด้วยยาสมุนไพรจีนแผนโบราณ เนื่องจากเมื่อตัวยาได้เริ่มเข้าไปบำบัดนั้น จะเข้าไปชะล้างสิ่งที่เป็นพิษ ในร่างกายให้สลายหรือเคลื่อนย้ายขับสารพิษ ออกจากร่างกาย จึงทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติดังกล่าว ซึ่งเป็นสัญญาณ ว่าร่างกายกำลังฟื้นตัว ไม่ใช่ผลข้างเคียงจากเห็ดหลินจือ เช่น ผู้ที่ป่วยโรคไต หรือต้องล้างไต จะปวดเมื่อยตามข้อ เท้าจะบวม ร่างกายอ่อนเพลีย
ซึ่งอาการเช่นนี้จะเกิดขึ้นระยะเวลาเพียง 2-3 วัน หรือประมาณ 1 อาทิตย์ ก็จะกลับสู่สภาพปกติ แล้วแต่สภาพร่างกาย จะแตกต่างกันของแต่ละคน ไม่ต้องตกใจ ให้กินเห็ดหลินจือต่อไป อย่าหยุด หากมีผลทางอาการมาก ให้ลด จำนวนแคปซูลลง เมื่อมีอาการปกติ ให้ทานตามคำแนะนำต่อไป สำหรับผู้ป่วยที่กำลัง รับประทานยารักษาที่แพทย์สั่ง ก็สามารถทานเห็ดหลินจือควบคู่ไปได้
^-^ กดปุ่มแชร์ในโซเชียลมีเดีย แบ่งปันเรื่องราวดีๆ ให้เพื่อนๆ เพื่อคนไทยมีสุขภาพที่ดี!! ^-^